อยากเรียนจิตแพทย์ไทยที่ไหน

อยากเรียนจิตแพทย์ไทยที่ไหนดี

การเรียนเพื่อมาเป็นจิตแพทย์นั้น เป็นอีกสาขาวิชาหนึ่งที่ไม่ได้ง่าย เพราะฉะนั้นผู้เรียนจะต้องมีใจรักและหมั่นศึกษาความรู้อยู่เสมอ ซึ่งเป็นหลักสูตรสาขาวิชาหนึ่งของทางด้านการแพทย์ ที่ในพื้นฐานการเรียนพื้นฐานเบื้องต้นนั้น ผู้เรียนจำต้องศึกษาวิชาพื้นฐานเสียก่อน จึงจะสามารถเรียนต่อวิชาเฉพาะด้านได้ ซึ่งอาชีพจิตแพทย์เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่กำลังได้รับความนิยมในสังคมไทย สำหรับผู้ที่มีความสนใจอยากเรียนต่อทางด้านจิตแพทย์ วันนี้เราก็มีแนวทางที่น่าสนใจมาแนะนำกันค่ะ

เรียนจิตแพทย์ในประเทศไทย

ต้องขออธิบายให้คุณอ่านเข้าใจก่อนว่า จิตแพทย์กับนักจิตวิทยานั้นถึงแม้จะเรียนสาขาอาชีพเดียวกัน หากแต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้างพอสมควร จิตแพทย์จะต้องเรียนจบหลักสูตรแพทย์ 6 ปี เรียนรู้พื้นฐานในโรคทั่วไป หลังจากนั้นจึงมาเรียนต่อทางด้านเฉพาะทางทางด้านจิตวิทยา อีก 3 ปี ซึ่งเรียกว่าจิตเวชทั่วไป และสามารถเรียนเพิ่มเติมได้อีก 1 ปีในวิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น หลังจากนั้นจึงเข้ารับการสอบต่ออีก 7 วัน ซึ่งมีทั้งเนื้อหาภาคปฏิบัติและเนื้อหาข้อสอบ ถ้าสอบผ่านก็จะได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของราชกิจจาวิทยาลัยในประเทศไทย

ในปัจจุบันนี้ยังมีจิตแพทย์เพียง 800 คนจากทั่วประเทศ ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วย ส่วนทางด้านนักจิตวิทยาก็มีจุดมุ่งหมายรักษาผู้ป่วยพี่มีอาการทางจิตใจเช่นเดียวกัน แต่ไม่สอบใบประกอบโรค

ด้วยเหตุนี้หน้าที่ในการทำงานจึงมีความแตกต่างกันตรงที่จิตแพทย์มีหน้าที่ บำบัดอาการทางจิตของผู้ป่วยด้วยการใช้ยาร่วมกับการใช้จิตบำบัดในเทคนิคต่างๆ ส่วนนักจิตวิทยามีหน้าที่หลักคือทำแบบทดสอบทางด้านจิตวิทยา หรือบางคนอาจเรียนเพิ่มเติมในเรื่องของการทำจิตบำบัด

จิตแพทย์ต้องเรียนอะไรบ้าง

พื้นฐานในช่วงปีแรกก็เรียนเหมือนกับหมอทั่วไป สามารถวินิจฉัยได้รักษาโรคทั่วไปได้ เริ่มตั้งแต่การซักประวัติ, การตรวจสอบร่างกายเบื้องต้น, การตรวจสอบสภาพจิตเบื้องต้น, การเกิดขึ้นของโรค, การหาแนวทางการรักษา, หาแนวทางป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต แต่ก็จะมีการศึกษาเจาะลึกในเรื่องของโรคที่เกิดมาจากทางอารมณ์โรค ที่เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง การรับรู้ความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ เป็นต้น

ทักษะพิเศษของแพทย์สาขานี้ คือ การตั้งคำถาม, การรับฟังผู้ป่วยด้วยความใส่ใจ และแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทำให้คนไข้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจเล่าความรู้สึกทุกอย่างออกมาให้ได้มากที่สุด ยิ่งคนไข้เล่าประวัติความเป็นมาของตัวเองมากเท่าไหร่ จิตแพทย์ก็จะยิ่งหาสาเหตุของการเกิดโรคได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อหาสาเหตุของการเกิดโรคได้แล้ว คราวนี้วิธีการรักษาก็จะง่ายขึ้น อีกทั้งยังต้องเรียนสรรพคุณของยาที่ใช้ในการแก้ไขโรคต่างๆ, ผลลัพธ์ของการใช้ยารวมทั้งศึกษาเรื่องการทำจิตบำบัดควบคู่ไปกับการใช้ยา เป็นต้น

ความพิเศษของสาขาจิตแพทย์ คือเรียนต่อได้เลยหลังจบ 6 ปี

สาขาวิชาการแพทย์นอกจากจะมีความยากแล้ว ก็ยังเป็นอีกสาขาวิชาหนึ่งที่มีค่าใช้จ่ายในการเรียนค่อนข้างสูงเพราะฉะนั้นนักศึกษาหลายๆ คน จึงเลือกที่จะใช้ทุนในการศึกษา ก่อนที่จะมาทำงานใช้คืนทีหลัง โดยหลังจากที่เรียนจบหลักสูตรพื้นฐานครบ 6 ปีแล้ว ก็จะต้องไปทำงานเพื่อชดใช้ กรณีใช้ถ้าทุนก่อนเป็นเวลา 3 ปี แต่จิตแพทย์จัดเป็นสาขาพิเศษที่ขาดแคลนเพราะฉะนั้นจึงสามารถเรียนต่อได้ทันที

เพราะฉะนั้นคุณผู้อ่านหลายๆ คนที่มีความสนใจ อยากศึกษาต่อเพื่อเป็นจิตแพทย์ ก็คงจะพอทราบข้อมูลในเบื้องต้นกันแล้วนะคะ และสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อทางด้านสาขาวิชานี้ ก็จะต้องพัฒนาจิตใจของตัวเองให้มีคุณภาพขึ้นด้วยเพราะว่าการทำงานกับผู้ป่วยที่มีสภาพจิตใจไม่ปกตินั้น จำเป็นต้องใช้ความอดทนในระดับสูง และมีความเข้าใจในผู้ป่วยอย่างลึกซึ้ง

หลักสูตรจิตแพทย์มีอะไรบ้าง

หลักสูตรจิตแพทย์มีอะไรบ้าง

จิตแพทย์ก็เป็นอีกสาขาหนึ่งของวิชาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเน้นรักษาโรคภายในจิตใจ และอาการความผิดปกติภายในจิตใจของมนุษย์ โดยหลายๆคนอาจเกิดความสับสนระหว่าง นักจิตวิทยากับจิตแพทย์ ซึ่งต้องขอบอกว่าจิตแพทย์นั้น คือ ผู้เรียนจบทางการแพทย์โดยตรง หลังจากนั้นจึงมาเรียนจิตวิทยาต่ออีก 3-4 ปี ซึ่งเป็นหลักสูตรเฉพาะทาง  หลังจากนั้นจึงสอบวุฒิบัตรเพื่อรับบัตรวุฒิบัตรเฉพาะทางด้านจิตเวช

จิตแพทย์ก็เป็นอีกสาขาหนึ่งของวิชาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน

จิตแพทย์ต้องเรียนอะไรบ้าง

เบื้องต้นจะเรียนเช่นเดียวกับหมอสาขาอื่นทั่วไป โดยเริ่มตั้งแต่การซักประวัติ การตรวจสภาพร่างกายเบื้องต้น เพิ่มเติมทางด้านการตรวจสุขภาพจิต ค้นหาสาเหตุของการเกิดโรค วิเคราะห์แนวทางการรักษา รวมทั้งการป้องกันและหลีกเลี่ยงที่ทำให้เกิดการเกิดโรคขึ้นต่อไปในอนาคต ซึ่งจะมีความแตกต่างจากแพทย์สาขาอื่นตรงที่มีการเจาะลงลึกในเรื่องของการตรวจสุขภาพจิตเป็นหลัก ในสายงานอื่นจะรักษาโรคที่สามารถมองเห็นได้ เช่น ขาหัก, เป็นไข้มีน้ำมูกไหลหน้าแดงก่ำ, ปอดอักเสบ เป็นต้น แต่จิตแพทย์จะต้องค้นหาโรคอันไม่อาจมองเห็นได้เลย ซึ่งฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของมนุษย์และจะต้องหาสาเหตุรวมทั้งวิธีแก้ไขที่ถูกต้องให้ได้ เพราะฉะนั้นผู้เรียนจิตแพทย์จะต้องมีความโดดเด่น ในเรื่องของการตั้งคำถาม กับการรับฟัง พร้อมทั้งแปลข้อมูลออกมาจากสิ่งที่ได้ฟังและพบเห็น จากการแสดงออกทางร่างกาย และทางสีหน้าต่างๆของผู้ป่วย รวมทั้งจะต้องใส่ใจกับคนป่วยที่อยู่ตรงหน้าให้มากที่สุด อีกทั้งยังต้องศึกษาเรื่องยาซึ่งส่งผลต่อสารเคมีในสมอง ที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังต้องเรียนเรื่องของจิตบำบัดควบคู่ไปกับการใช้ยาอีกด้วย เนื่องจากปัญหาของผู้ป่วยในแต่ละรายนั้นแตกต่างกัน จึงทำให้วิธีการรักษาวิเคราะห์เป็นรายบุคคลไป

หลังจากเรียนจบหลักสูตรแพทย์ 6 ปี ยังต้องศึกษาทางด้านเฉพาะทางต่ออีก 3 ปี

หลังจากเรียนจบ 6 ปีแล้วหลังจากนั้นก็จะต้องไปทำงานเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงเป็นระยะเวลา 3 ปี ก่อนที่จะมาเรียนต่อทางด้านเฉพาะทางอีก 3-4 ปี ซึ่งถ้าเทียบกับระดับการศึกษาทั่วไปแล้วก็จะอยู่ในระดับปริญญาโท แต่สำหรับในประเทศไทยแล้วสาขาอาชีพทางด้านจิตแพทย์เป็นสาขาอาชีพค่อนข้างขาดแคลน เพราะฉะนั้นจึงมีคุณสมบัติพิเศษเมื่อเรียนจบ 6 ปีแล้วสามารถเรียนสาขาเฉพาะต่อได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องทำงานไปทำงานก่อน การเรียนจิตแพทย์เพื่อรักษาผู้ใหญ่จะใช้เวลาเรียนต่อ 3 ปี และผู้ที่ต้องการเรียนต่อจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นจะต้องใช้เวลาเพิ่มอีก 1 ปีเป็นทั้งหมด 4 ปี ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าไปสมัครเรียนต่อที่สาขาวิชาจิตแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆที่เปิดรับได้เลย

โดยในมหาวิทยาลัยที่หนึ่ง เปิดรับรองแพทย์เพื่อมาเรียนต่อปีละ 2 – 6 คน โดยในปีหนึ่งจะมีผู้ที่จบหลักสูตรสาขาจิตแพทย์จำนวน 25-30 คน จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นอีกประมาณ 12 คน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าสถาบันแห่งนั้นมีอาจารย์ผู้สอนจำนวนเยอะแค่ไหน ซึ่งหลักสูตรการสอนก็ไม่ใช่เป็นการนั่งเรียนแต่ในห้องเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียนโดยการศึกษาจากเคสจริง เพื่อเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์จริงในระหว่างเรียนไปด้วย โดยต้องศึกษาคนไข้ตัวจริงเมื่อได้ซักประวัติสอบถามข้อมูลมาแล้ว ก็นำมาวิเคราะห์และแนะนำไปปรึกษากับครูผู้สอน เพื่อหาแนวทางในการรักษาต่อไป หลังจากที่เรียนจบครบ 3 ปีแล้ว หลังจากนั้นก็จะมีการสอบครั้งใหญ่ใช้เวลาสอบทั้งหมด 7 วัน มีทั้งสอบข้อเขียนและสอบปฏิบัติ ถ้าสอบไม่ผ่านอีก 6 เดือนให้ไปเตรียมตัวและกลับมาสอบใหม่ หรือสอบใหม่ในปีหน้าไปเลย แต่สำหรับผู้ที่สอบผ่านก็จะได้รับการบรรจุวุฒิบัตรสาขา ประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาจิตเวชศาสตร์ และมาเป็นจิตแพทย์อย่างเต็มตัว

คุณผู้อ่านคงมีความเข้าใจกับอาชีพจิตแพทย์มากขึ้นแล้วนะคะ ซึ่งก็เรียนวิชาต่างๆก็ไม่แตกต่างจากหมอโรคอื่นๆ ทั่วไปเลยถ้าคุณสนใจก็สามารถหาแนวทางในการศึกษาต่อ เพื่อก้าวไปเป็นจิตแพทย์ที่ดีได้ จะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และทำให้จิตใจของเขากลับมาเป็นจิตใจที่สมบูรณ์แข็งแรงดังเดิม

แบบทดสอบทายนิสัย จิตวิทยาที่คุณอาจยังไม่รู้

จิตใจลึกๆซึ่งซ่อนอยู่ภายในตัวของมนุษย์เป็นสิ่งที่หลายๆคนไม่อาจหยั่งลึก โดยบางเรื่องคุณอาจไม่รู้จักตัวเองดีพอก็ได้ เพราะฉะนั้นเพื่อทำความรู้จักกับตัวตนของคุณให้มากขึ้น วันนี้เราจึงได้นำแบบทดสอบ 4 ข้อ 4 แบบแม่นๆ มาฝากกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ลองไปเล่นกันเลย

แบบทดสอบทายนิสัย จิตวิทยาที่คุณอาจยังไม่รู้

 แบบทดสอบทำนายนิสัยแม่นจริง 4 ข้อ ที่จะทำให้คุณรู้จักตัวเองมากขึ้น !

  1. ยกมือทั้ง 2 ของคุณขึ้นมาประสานกัน แล้วดูว่านิ้วโป้งซ้าย หรือ ขวา ที่อยู่ด้านบนของอีกข้าง
  • ถ้านิ้วโป้งซ้ายอยู่บนนิ้วโป้งขวา = 1
  • ถ้านิ้วโป้งขวาอยู่บนนิ้วโป้งซ้าย = 2
  1. ยกมือทั้ง 2 ข้างมากระกบเป็นรูปปืน แล้วทำท่าเล็งไปข้างหน้า เหมือนกำลังจะเล็งยิงอะไรบางอย่าง
  • ถ้าคุณขยิบตาข้างซ้าย = 1
  • ถ้าคุณขยิบตาข้างซ้าย = 2
  1. คราวนี้เปลี่ยนมาลอง ‘กอดอก’ กันดูบ้าง
  • ถ้ามือซ้ายของคุณอยู่ข้างบน = 1
  • ถ้ามือขวาของคุณอยู่ข้างบน = 2
  1. ปรบมือแบบสุภาพ และเป็นทางการ
  • ถ้ามือซ้ายของคุณอยู่ข้างบน = 1
  • ถ้ามือขวาของคุณอยู่ข้างบน = 2

นำผลเลขที่จดไว้มาอ่านผลกันเลย

  • 2222 คุณเป็นคนที่ชอบความ Perfect ต้องการความสมบูรณ์แบบในทุกอย่าง อีกทั้งยังมีความนิ่งอยู่ในตัวสูง ไม่ค่อยชอบโต้แย้งเสียเท่าไหร่นัก
  • 2221 เป็นคนเด็ดขาดกับทุกเรื่อง
  • 2212 เปิดรับข่าวสาร , ทัศนคติ ในหลากหลายช่องทาง มีทักษะในการสื่อสารที่ดีเลิศ
  • 2111 เป็นคนน่าเชื่อถือ ทำงานด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่ค่อยขอความช่วยเหลือจากใครเท่าไหร่นัก
  • 2211 มีมนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยม
  • 2121 ชอบทำอะไรที่มีความท้าทาย น่าเสี่ยง น่าลอง
  • 1112 รู้ถึงความต้องการของตนเองได้อย่างแจ่มชัด อีกทั้งยังเป็นคนที่มีความต้องการมาก
  • 1222 คุณกำลังหมดความอดทนกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ และปล่อยให้ความเห็นของผู้อื่น เข้ามากระทบกับชีวิตของตัวเองมากจนเกินไป
  • 1221 มีความนุ่มนวล อ่อนโยน มีความไร้เดียงสา
  • 1122 ชอบผู้มิตรกับคนอื่น เข้ากับคนอื่นได้ดี และมีความไร้เดียงสา หากแต่ข้อเสียคือ ชอบคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง ในด้านลบ
  • 1121 คุณเป็นคนที่ดูน่าไว้วางใจมากในสายตาของคนอื่น และมีบุคลิกที่ดูเป็นธรรมชาติ ทำให้คนอยากเข้าหาอยู่บ่อยครั้ง
  • 1111 คุณไม่ใช่คนอนุรักษ์นิยม และยึดถือความต้องการของตัวเองเป็นหลัก
  • 1212 มีจิตใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว หากแต่ข้อเสีย คือ ปากแข็ง กับชอบเอาแต่ใจ
  • 1211 คุณคือเจ้าหนูจำไม ชอบถามคำถาม ชอบสงสัย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้า

2112 เป็นคนเจ้าระเบียบ มีความพิถีพิถันในการทำอะไรในทุกขั้นตอน อีกทั้งยังเป็นคนเอื้อเฟื้อชอบทำอะไรให้เพื่อนอยู่เสมอ

ทำความรู้จักบุคคลสำคัญในวงการจิตวิทยาที่ต้องรู้

ทำความรู้จักบุคคลสำคัญในวงการจิตวิทยาที่ต้องรู้

นักจิตวิทยา คือ บุคคลผู้ช่วยเหลือคนไข้ ด้วยความรู้ทางการแพทย์ ช่วยให้ผู้ป่วยที่มีความทุกข์ ภายในจิตใจ ให้มีอาการดีขึ้น และกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข นอกจากนี้นักจิตวิทยาบางท่าน ยังเป็นผู้ค้นพบโรคใหม่ๆ รวมทั้งวิธีรักษาใหม่ๆได้อีกด้วย สำหรับในวันนี้เราไปทำความรู้จักกับ บุคคลสำคัญในวงการจิตวิทยา กันดีกว่าว่ามีใครบ้าง

ทำความรู้จักบุคคลสำคัญในวงการจิตวิทยาที่ต้องรู้

บุคคลสำคัญในวงการจิตวิทยา

Albert Bandura

ค.ศ. 1925 – ปัจจุบัน

Albert Bandura ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างพื้นฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ซึ่งมีความมั่นคงเรื่องการเรียนรู้ด้วยการดูตัวแบบ หรือการลอกเลียนแบบ งานของเขามุ่งศึกษาในเรื่องธรรมชาติของความก้าวร้าว โดยการเรียนรู้ ด้วยการดูตัวแบบนี้จะเกิดขึ้น ไม่ว่าตัวแบบจะได้รับรางวัลจากการกระทำนั้นๆ หรือไม่ก็ตาม

การเรียนรู้แบบนี้ แสดงให้เห็นว่าการลงโทษสามารถส่งผลต่อสถานการณ์การเลียนแบบ โดยเด็กพร้อมที่เลียนแบบผู้ที่ได้รับรางวัลมากกว่าผู้ที่ถูกลงโทษ เพราะฉะนั้น เด็กจึงเรียนรู้ได้ด้วยตนเองแบบไมต้องได้รับรางวัลหรือการลงโทษ Bandura แสดงให้เห็นว่า เมื่อตัวแบบถูกเสนอด้วยสิ่งเร้า ก็จะมีแนวโน้มซึ่งถูกวางไปด้วยเงื่อนไข

Sigmund Freud

ค.ศ. 1856 – 1939

ในช่วงชีวิตหนึ่ง Sigmund Freud เป็นผู้เชี่ยวชาญรักษาความผิดปกติทางประสาท และ Hysteria และในช่วงเวลานี้นี่เอง ที่ Sigmund Freud ได้เรียนรู้เรื่อง ขั้นตอนปลดปล่อยอารมณ์อย่างรุนแรง ของ Joseph Breuer เพื่อนร่วมงานของเขา ซึ่งใช้ในการรักษาอาการ Hysteria โดยอาการนี้จะหายไปเมื่อผู้ป่วยถูกกระตุ้นให้นึกถึงความทรงจำที่เป็นบาดแผลในขณะที่อยู่ภายใต้การสะกดจิต สิ่งด้วยวิธีการนี้ จะทำให้ผู้ป่วยแสดงอารมณ์ดั้งเดิม ที่เป็นปมในใจและลืมมันไป นอกจาก Freud จะศึกษาจากการสังเกตอาการ รวมทั้งศึกษาจากประสบการณ์ของผู้ป่วยเองแล้ว เขายังใช้การวิเคราะห์จากความฝันอีกด้วย ในปี 1900 ผลงานชิ้นสำคัญอันลือลั่นของ Freud ก็ได้รับการตีพิมพ์ออกมา นั่นก็คือ ‘The Interpretation of Dreams’

Stanislav Grof

เขาและ Christina Grof ภรรยาของเขา ได้พัฒนาวิธีบำบัดแบบไม่ใช้ยาหลอนประสาทขึ้นมา โดยการบำบัดนี้เรียกว่า การหายใจแบบ Holotropic Breathwork ที่ต่อมาได้กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะทาง ของพวกเขาในการบำบัด โดย Grof ได้ควบคุมการทดลองมากกว่า 3000 ครั้ง ต่อมา Grof ได้พัฒนาจิตบำบัดจากการใช้สาร SLD ขึ้น หากแต่ต่อมาก็มีกฎหมายที่มีความเกี่ยวกับการห้ามใช้ยาหลอนประสาทออกมา เขาจึงยุบวิธีการนี้ไป พร้อมหันไปพัฒนาการเข้าถึงสภาวะเหนือธรรมดาของจิตสำนึก จนเกิดเป็นการบำบัดหายใจแบบ Holotropic Breathwork ขึ้น ซึ่ง Grof เชื่อว่าการเข้าถึงสภาวะดังกล่าวเหล่านี้ เป็นกระบวนการที่ช่วยรักษาเยียวยาปัญหาทางจิตใจ รวมถึงแก้ไขปัญหาทางด้านจิตวิญญาณ ได้ไปพร้อมกัน

จิตวิทยาพัฒนาการเป็นอย่างไร ?

จิตวิทยาพัฒนาการเป็นอย่างไร ?

จิตวิทยาพัฒนาการ คือ จิตวิทยาอีกประเภทหนึ่ง ที่มุ่งเน้นศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในวัยต่างๆ ศึกษาเพื่อให้รู้ว่าบุคคลเหล่านั้นมีพัฒนาการเป็นมาอย่างไร ในแต่ละช่วงวัยเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง สาเหตุของการเกิดคืออะไร เป็นต้น

ความสำคัญของจิตวิทยาวิทยาการ ที่มีต่ออาชีพ ครู

จุดประสงค์ของจิตวิทยาพัฒนาการ คือ การศึกษาพร้อมมีความเข้าใจในบุคคล ได้เข้าใจถึงสติปัญญา , จิตใจ , ร่างกาย , อารมณ์ , สังคม รวมทั้งความต้องการของบุคคลแต่ละวัย ทำให้บุคคลสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น ตลอดจนดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข

สำหรับอาชีพครู จะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในกระบวนการต่าง ๆ ของการเจริญเติบโตของเด็กได้ดี ทำให้ครูสามารถส่งเสริมเด็กๆ ให้เกิดพัฒนาการในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ให้มีความสอดคล้องไปกับวุฒิภาวะ รวมทั้งระดับพัฒนาการ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ได้ดีที่สุด

พัฒนาการ คือ อะไร ?

พัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นระเบียบ อันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความเจริญก้าวหน้าของบุคคล อันเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากวุฒิภาวะ รวมทั้งประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตตั้งแต่แรกเกิด

ลักษณะเฉพาะตัวของพัฒนาการ

การพัฒนาการจะเกิดขึ้น ในลักษณะที่มีความลากยาวต่อเนื่องกัน โดยจะมีการดำเนินงานไปตามแต่ล่ะลำดับขั้นพัฒนาการ ซึ่งจะเกิดขึ้นในทุกช่วงเวลาของชีวิต

  • พัฒนาการตามแบบฉบับของตัวเอง คือ อัตราพัฒนาการของแต่ละบุคคลก็มีความแตกต่างกัน
  • พัฒนาการในอัตราที่ไม่เท่ากัน คือ การเจริญเติบโตของแต่ละคนไม่เท่ากัน แน่นอนว่าวัยเด็กเล็กจะมีอัตราการพัฒนาการเร็วกว่าเด็กโต
  • พัฒนาการทิศทางเฉพาะ ซึ่งจะเป็นไปตามแนวศีรษะจรดลงไปสู่ปลายเท้า

2 องค์ประกอบของพัฒนาการ

  • วุฒิภาวะ คือ ความเจริญเติบโตทั้งทางร่างกาย – จิตใจ
  • การเรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ที่เกิดจากประสบการณ์หรือการฝึกหัด ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดการพัฒนาในอนาคต

ตามหลักจิตวิทยา การพัฒนาการของมนุษย์สามารถแบ่งออกได้เป็นกี่ด้าน ?

นักจิตวิทยา แบ่งพัฒนาการออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่

  • พัฒนาการทางด้านร่างกาย คือ การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของขนาด , รูปร่าง , โครงสร้างของร่างกาย , กล้ามเนื้อ , กระดูก , ส่วนสูง ตลอดจนประสิทธิภาพของประสาทต่างๆทั่วร่างกาย
  • พัฒนาการทางด้านสติปัญญา คือ ความรู้ , ความจำ , ปัญญา และความคิด
  • พัฒนาการทางด้านอารมณ์ คือ ความรู้สึก , ทัศนคติ และค่านิยม
  • พัฒนาการทางด้านสังคม คือ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

ความแตกต่างของบุคคล ล้วนเกิดขึ้นมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยการทั้ง 2 สิ่งนี้ เข้ามามีบทบาทร่วมกัน ก็กลายมาเป็นปัจจัยกำหนดพัฒนาการของคน นั่นเอง

  • พันธุกรรม คือ การถ่ายทอดลักษณะทางชีวิวิทยา ผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์

สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ทั้งมีชีวิตและไร้ชีวิต อันมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษย์ อีกทั้งยังปรุงแต่งชีวิตในรูปลักษณะต่าง ๆ ได้อีกด้วย

จิตวิทยาความรักที่ต้องเรียนรู้

จิตวิทยาความรักที่ต้องเรียนรู้

เมื่อพูดถึง ‘ความรัก’ หลายๆคนอาจมองว่า มันคือเรื่องของหน้าตา รูปร่างภายนอก จนลามไปถึงเงินในกระเป๋า และรถที่เขาขับ แต่ความจริงแล้ว คามรักก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป วันนี้เรามาลองดูเหตุผลทางจิตวิทยากันดีกว่า 8 เหตุผลข้อนี้แหละที่อาจเป็นสิ่งสร้างเสน่ห์ให้กับคุณได้อย่างไม่รู้ตัว

จิตวิทยาความรักที่ต้องเรียนรู้

ความรัก กับ จิตวิทยาในเบื้องลึก

  1. มนุษย์จะตกหลุมรักคนที่มีลักษณะคล้ายกัน

เช่น กิจกรรมที่ชอบ , ทัศนคติ , การวางตัว รวมไปถึงประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งเคยผ่านเข้ามาในชีวิต โดยสิ่งเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยเชื่อม ซึ่งทำให้คุณมีเสน่ห์ดึงดูดในฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รู้ตัว

  1. บุคลิกภาพมีคล้ายคลึงกับ พ่อ แม่ หรือผู้เลี้ยงดู

บุคลิกภาพโดยรวมของคนที่คุณชอบ อาจมีส่วนคล้ายคลึงกับ พ่อ – แม่ หรือผู้เลี้ยงดู เช่น คนๆนั้นอาจมีคำพูดคำจาคล้ายคลึงกับพ่อ – แม่ หรือผู้เลี้ยงดู ของฝ่ายตรงข้าม และสิ่งนั้นก็ส่งผลทำให้คุณมีเสน่ห์ดึงดูดต่ออีกฝ่ายมากขึ้น

  1. กลิ่นมีผลต่อการดึงดูดมาก

มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ออกมารองรับว่า ‘กลิ่น’ มีผลเป็นอย่างมากต่อการดึงดูดเพศตรงข้าม เช่น ผู้หญิงจะชอบกลิ่นตัวของผู้ชายที่มี Testosterone มากกว่า เฉกเช่นเดียวกับการที่ผู้ชายรู้สึกว่ากลิ่นของผู้หญิง ช่วงเป็นประจำเดือน มีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากจนเกิดความหลงใหล

  1. ลักษณะท่าทางการวางตัวของคุณ

ท่าทางการวางตัวของคุณในพื้นที่สาธารณะ ส่งผลต่อการดึงดูดได้มากเลยทีเดียว และแน่นอนว่าคนมีบุคลิกภาพเก็บตัว ไม่ค่อยแสดงออก จะดึงดูดได้น้อยกว่ากลุ่มคนเปิดเผย อีกด้วย

  1. ความสูงมีผลต่อความรัก

สำหรับคุณหนุ่มๆ ที่เกิดมาไม่ค่อยสูงก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะรักแท้มีอยู่จริงเสมอ แต่มาดูข้อมูลน่าสนใจในทางจิตวิทยากันดีกว่า โดยความสูงมีผลต่อความสัมพันธ์อย่างไม่น่าเชื่อ จากการวิจัยการศึกษาเชิงพฤติกรรม แสดงให้เห็นว่าผู้ชายที่มีส่วนสูงมากกว่า จะมีเสน่ห์ดึงดูดมากตามไปด้วย

  1. แชร์ประสบการณ์อันน่ากลัว

กลุ่มนักวิจัยได้สำรวจเรื่องที่ฟังดูน่าประหลาดนี้ สุดท้ายพวกเขาก็ค้นพบว่าในกลุ่มคนที่เริ่มต้นทำความรู้จัก ด้วยการแชร์ประสบการณ์หวาดเสียว หรือประสบการณ์อันน่ากลัว มีโอกาสทำให้อีกฝ่ายเกิดความประทับใจมากขึ้น

  1. ความใกล้ชิดก็ดีกว่า

จากงานวิจัยของสถาบัน American Psychological Association พบว่าบุคคล 2 คน ซึ่งมีแรงดึงดูดเข้าหากัน ถ้าอาศัยอยู่ในระยะทางใกล้กัน ก็จะมีความสัมพันธ์ในระยะยาวได้ดีกว่านั่นเอง

  1. รอยยิ้ม’ กระชากใจ

‘รอยยิ้ม’ เป็นหนึ่งในพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งช่วยทำให้สภาวะต่างๆ มีความผ่อนคลายและเรียบง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้คนที่ดูมีความสุขมากกว่า ก็จะดึงดูดเพศตรงข้ามมากกว่าอีกด้วย

แนะนำศัพท์ทางจิตวิทยาที่ควรรู้

แนะนำศัพท์ทางจิตวิทยาที่ควรรู้

ณ ปัจจุบันนี้ ความรู้ทางด้านสุขภาพจิตเกิดการพัฒนาก้าวหน้า อีกทั้งยังเป็นที่สนใจของประชาชนในวงกว้าง เพราะความรู้ทางด้านนี้มีความเกี่ยวพันธ์กับการมีสุขภาพดี อีกทั้งยังทำให้เข้าใจปัญหาสังคม รวมทั้งปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นแม้แต่ประชาชนคนทั่วไป ก็ควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของจิตเวชรวมทั้งสุขภาพจิตให้ดีมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ อีกทั้งยังให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้อื่นอย่างเป็นระบบได้อีกด้วย ทำให้เป็นการช่วยเหลือสังคมได้อีกทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นวันนี้มาทำความเข้าใจกับคำศัพท์ทางจิตวิทยากันก่อนเถอะค่ะ

ศัพท์ทางจิตวิทยาที่ควรรู้

  • Stress ความเครียด คือ อาการซึ่งมาจากปฏิกิริยาทางร่างกายจิตใจรวมทั้งสติปัญญา โดยเป็นสภาวะชั่วคราวของความไม่สมดุล โดยเกิดจากการประเมินของบุคคล ซึ่งมีต่อสิ่งที่เข้ามาพร้อมตีความว่าสิ่งนั้นเป็นภัยคุกคาม เช่น สิ่งแวดล้อมในสังคม , การทำงาน , ปัญหาครอบครัว และอื่นๆเป็นต้น
  • Depression ภาวะซึมเศร้า คือ สภาวะจิตใจมีความผิดปกติ ซึ่งส่งผลทำให้พฤติกรรมของบุคคลเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มองทุกอย่างในแง่ลบ อาจมีสาเหตุมาจากการสูญเสียสิ่งต่างๆ ที่ตนเองรักไป โดยอารมณ์เหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ชั่วยามหรือสามารถคงอยู่ได้นาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์รวมทั้งสิ่งแวดล้อม
  • Suicide การฆ่าตัวตาย – ในแต่ละปี มีผู้ฆ่าตัวตายจำนวนมากกว่า 1 ล้านคน ส่งผลให้การฆ่าตัวตายขึ้นแท่นกลายเป็น 1 ใน 10 สาเหตุของการเสียชีวิต สามารถพบได้ในคน ทุกเพศ ทุกวัย โดยเริ่มตั้งแต่เด็กอายุ 10 ปี ไปจนถึงผู้สูงอายุก็มี อีกทั้งยังไม่จำกัดทุกระดับการศึกษา อาชีพ และฐานะ คือ การที่บุคคลทำร้ายตัวเองด้วยวิธีสมัครใจ โดยมีจุดมุ่งหมายให้ตัวเองเสียชีวิต
  • Lying การโกหก – คือ การที่ผู้พูดแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จให้แก่ผู้อื่น โดยจุดประสงค์ของการโกหก ไม่เพียงเพื่อให้ได้รับความสำเร็จเท่านั้น หากแต่ยังโกหกเพื่อให้เป็นไปตามเป้าประสงค์บางประการด้วย โดยจากการวิจัยของนักจิตวิทยา พบว่ามนุษย์มีแรงจูงใจมากมาย เช่น รักษาตัวเอง , หลบหลีกการถูกลงโทษ , ไม่อยากเผชิญหน้า รวมทั้งเพื่อทำร้ายผู้อื่นอย่างโหดร้าย
  • Attachment style รูปแบบความผูกพัน – โดยมนุษย์จะมีลักษณะ ในการตอบสนองต่อสถานการณ์ ซึ่งคุณมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคลอื่นๆ ซึ่งมีความผูกพันด้วยความรู้สึกอันแตกต่างกัน ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ การที่เด็กอ่อนมีความสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู ในลักษณะที่มีความแตกต่างกัน ทำให้พฤติกรรมของเด็กอ่อนมีรูปแบบแตกต่างกันไปด้วยนั่นเอง
  • Causal attribution styles การอนุมานสาเหตุ – คือ หลักการทางจิตวิทยาประเภทหนึ่งอันน่าสนใจ ซึ่งมนุษย์ใช้ในการแปลงสาเหตุในสถานการณ์ต่างๆ โดยรูปแบบในการอนุมานนี้ มีการพัฒนามาตั้งแต่ที่คนนั้นยังอยู่ในวัยเด็ก โดยหนึ่งในความเป็นมาของรูปแบบในการอนุมานสาเหตุความสำคัญ อันเนื่องมาจากการวิเคราะห์จากบุคคลรอบตัว โดยเฉพาะผู้ใกล้ชิดกับเด็กมากๆอย่างมารดา เนื่องจากเด็กจะใช้เวลาส่วนใหญ่คลุกอยู่กับบุคคลเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้เด็กคอยสังเกตอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสร้างความจดจำว่า ภายใต้สถานการณ์รูปแบบต่างๆ คนเหล่านั้น มีการอนุมานสาเหตุต่อสถานการณ์หนึ่งๆนั้นในรูปแบบใด

Gender Role บทบาททางเพศ – เพศ คือ การแบ่งแยกลักษณะประเภทหนึ่งซึ่งติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิดเลยทีเดียว ตั้งแต่ที่ทารกออกมาดูโลก สามารถจำแนกออกเป็นเพศหญิงกับเป็นเพศชาย จากการดูจากอวัยวะเพศ หากแต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ได้กำหนด ‘บทบาททางเพศ’ ขึ้นมาเป็นหลักการทางสังคม เพื่อให้บุคคลนั้นปฏิบัติตามความต้องการของสังคมโดยในอดีตได้มีการแบ่งหน้าที่เพศชายและเพศหญิงซึ่งมีความแตกต่างกันมาก โดยยึดในหลักการที่ว่าผู้ชายเป็นเพศแข็งแรง อีกทั้งยังมีพละกำลังมาก ต้องทำหน้าที่คุ้มครองสังคม ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นเพศอ่อนแอกว่าผู้ชาย โดยมีความนุ่มนวลละเอียดอ่อน ผู้หญิงจึงทำหน้าที่ในครอบครัว รวมทั้งสั่นสอนอบรมเลี้ยงดูบุตร

‘นักจิตวิทยา’ ชื่อดังในไทยมีใครกันบ้าง

‘นักจิตวิทยา’ ชื่อดังในไทยมีใครกันบ้าง

‘นักจิตวิทยา’ คือ ผู้ที่ศึกษาเรียนรู้พฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ ทั้งมนุษย์ที่มีภาวะจิตใจปกติและไม่ปกติ เริ่มศึกษาตั้งแต่เกิดจนตาย หรือ อาจลงลึกศึกษาพิเศษแค่ช่วงใดช่วงหนึ่งเท่านั้น หรือเจาะจงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง นอกจากนี้บางงานก็ศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ด้วย สำหรับวันนี้เราจะมาแนะนำให้คุณทำความรู้จักกับ‘นักจิตวิทยา’ ชื่อดังในไทยกันดีกว่า

‘นักจิตวิทยา’ ชื่อดังในไทยมีใครกันบ้าง

เปิดประวัติสมาคมนักจิตวิทยาคลินิกไทย

ข้าราชการพลเรือนได้มีการกำหนดให้มีตำแหน่งนักจิตวิทยาขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก อีกทั้งอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2506 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาทางด้านจิตวิทยาคลินิก ซึ่งมีการเจริญขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามลำดับขั้น โดยมีอาจารย์สมทรง สุวรรณเลิศ ที่ ณ ขณะนั้นท่านขึ้นแท่นตำแหน่งนักจิตวิทยาท่านแรกของประเทศไทย เป็นผู้ทำงานอย่างหนักได้วางรากฐานสาขาจิตวิทยาคลินิกเอาไว้ให้เป็นปึกแผ่น ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นทั้งแม่แบบ รวมทั้งผู้ควบรวมให้วิชาชีพนักจิตวิทยาคลินิก กลายเป็นวิชาชีพอย่างเต็มศักยภาพมาจนถึงทุกวันนี้

ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร

หนึ่งในนักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงอยู่ ณ ขณะนี้ เขาจบคณะจิตวิทยามาจาก Australian National University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศออสเตรเลีย มาพร้อมทุนการศึกษาแบบเต็มเวลา อีกทั้งยังเป็นทั้งนักเขียน รวมทั้งวิทยากรทางด้านสมอง ตลอดจนการพัฒนาชีวิตชื่อดังของเมืองไทย อีกทั้งยังเป็นเจ้าของผลงานหนังสือระดับ Best-Seller 9 เล่ม เช่น…สมองเศรษฐี, ขุนเขาเกาสมอง ,อัศวินอุตุกับปีศาจทั้ง 8 , ข้อคิดจากขุนเขา,ขุนเขาเกาความคิด เป็นต้น

กิติกร มีทรัพย์

ท่านจบการศึกษามาจาก การศึกษาบัณฑิต วิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน ชลบุรี , จิตวิทยาคลินิค ระดับปริญญาโท ด้วยทุน สถาบันจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Aarhus ประเทศเดนมาร์ค , สังคมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล รวมทั้งจิตวิทยาความมั่นคง สถาบันจิตวิทยาความมั่นคง กองบัญชาการทหารสูงสุด ผลการเรียนของท่านเป็นการการันตีในฝีมือระดับหนึ่งที่น่าสนใจแล้ว นอกจากนี้ประวัติการทำงานของท่านก็มากล้น เริ่มจาก บรรณาธิการ วารสารจิตวิทยาคลินิคถึง 3 สมัย บรรณาธิการ วารสารสุขภาพจิต กองบรรณาธิการ วารสารสาธารณสุข รวมทั้งยังเป็นคอลัมนิสต์บทความเชิงวิชาการ นักเขียน อีกทั้งยังผลงานเขียนรวมทั้งงานแปลอันทรงคุณค่ามากมาย

ฌอน บูรณะหิรัญ

คนหนุ่มคนนี้ เป็นผู้มองโลกในแง่บวกอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมาพร้อมกระแสที่มาแรงมากๆ โดยเขาเป็นคนไทยซึ่งเกิดและเติบโต ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐ California เขาจบการศึกษาการเรียนทางด้านสาขาจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ประวัติเขาของไม่ธรรมดาจริงๆ จากเด็กที่หัวรุนแรงใครจะหยั่งถึงกลายมาเป็นนักให้พลังคิดบวกแก่สังคม !สำหรับ ฌอน บูรณะหิรัญ ในสมัยเด็กก็ถูกรังแกมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยเลย อันเนื่องมาจากการที่ไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศอีกทั้งยังเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ทำให้มีเรื่องชกต่อยอยู่บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันตัวเองเขาจึงเลือกเรียนมวยไทยเพื่อเป็นการป้องกันตัว จนกระทั่งสามารถชกมวยชนะ ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในอเมริกาในการแข่งขันต่างๆ นอกจากนี้เขาก็ยังเคยมีเรื่องชกต่อยขั้นรุนแรงจนถึงขนาดต้องเข้าสถานพินิจเยาวชนอีกด้วย ต่อมาถึงคราวจุดเปลี่ยนของชีวิต เมื่อเขาถูกลงโทษทำสาธารณประโยชน์ในสถานพินิจ 1 สัปดาห์ จากจุดนี้ก็กลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตระหนักรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต อีกทั้งได้เปลี่ยนตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ และเขาก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย เมื่ออายุ 23 ปี หลังจากนั้นก็เริ่มทำเพจเพื่อเป็นแสงสว่างให้กับโลกใบนี้…

สำหรับนักจิตวิทยาที่เรากล่าวถึงกันในวันนี้ เป็นเพียงส่วนเล็กๆเท่านั้นเองนะคะ ซึ่งในประเทศไทยนั้นยังมีนักจิตวิทยาที่เก่งกาจอีกมาก และช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากทางจิตใจมากมาย ถ้าคุณรู้สึกว่าจิตใจของคุณไม่ปกติ ต้องการความช่วยเหลือ คุณสามารถไปหาพวกเขาเพื่อฟื้นฟูจิตใจ กลับมาใช้ชีวิตที่มีความสุขทางสังคมต่อไปนะคะ

ถ้าอยากเรียนจิตวิทยา ต้องเรียนสายอะไร ?

ถ้าอยากเรียนจิตวิทยา ต้องเรียนสายอะไร ?

สำหรับผู้ต้อง ‘การศึกษาทางด้านจิตวิทยา’ คงกำลังเกิดคำถามว่า แบ่งออกเป็นกี่แขนง , เรียนที่ไหนและเรียนอย่างไร และเมื่อเรียนจบแล้ว สามารถประกอบอาชีพอันใดได้บ้าง วันนี้เราก็ได้รวบรวมข้อมูลความรู้มาให้คุณผู้อ่านที่สนใจได้เข้ามาศึกษากันค่ะ

psychology

จิตวิทยาคืออะไร ?

การศึกษาทางด้านจิตวิทยา เป็นการศึกษาที่มีความเกี่ยวกับเรื่องทางจิตใจ , ความคิด ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นแล้วการศึกษาจิตวิทยาจึงเป็นการศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ ทำให้นำความรู้เข้ามาประยุกต์กับกิจกรรมในด้านต่างๆ ของมนุษย์ นอกจากนี้การเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยทางด้านจิตวิทยาสามารถเรียนจบระดับสายสามัญสาขาวิชาใดก็ได้

การเรียนและการทำงาน จิตวิทยาแบ่งออกเป็นกี่สาขา?

  • จิตวิทยาทั่วไป – ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์
  • จิตวิทยาการศึกษา – ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการเรียน – การสอนรวมทั้งวิธีผลักดันประสิทธิภาพของผู้เรียน ด้วยการนำหลักทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้
  • จิตวิทยาคลินิก – นำหลักวิเคราะห์ทางจิตวิทยา ไปประยุกต์ใช้ในการวินิจฉัยโรครวมทั้งรักษาปัญหาทางจิต โดยจะมุ่งเน้นในการค้นหาสาเหตุ อันก่อให้เกิดพฤติกรรมที่แปลกไป หรือ ความผิดปกติทางจิตใจ ว่ามีสาเหตุที่มาจากอันใดกันแน่
  • จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ศึกษาการนำหลักทางจิตวิทยากับการทำงานมาผสมผสานกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ด้วยการนำความรู้ทางจิตวิทยามาใช้ในทุกกระบวนการ เริ่มต้นจากการคัดเลือกบุคคล , พัฒนาพนักงาน , การบริหาร , ทำการวิจัยตลาด เป็นต้น
  • จิตวิทยาพัฒนาการ ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ในทุกระดับ นับตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต โดยมีกระบวนการอย่างเป็นลำดับขั้น มุ่งเน้นการยกระดับเสริมสร้างพัฒนาการ ทางด้านร่างกาย , สติปัญญา , จิตใจ , อารมณ์ รวมทั้งสังคม เพื่อส่งเสริมชีวิตของมนุษย์ให้เป็นไปตามพัฒนาการ หากแต่ในส่วนนี้จะมุ่งเน้นไปยังกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ซึ่งสาขานี้เจาะลึกศึกษาเฉพาะช่วงวัยได้อีก เช่น จิตวิทยาเด็ก , จิตวิทยาวัยรุ่น เป็นต้น
  • จิตวิทยาสังคม – ศึกษาพฤติกรรมทางด้านสังคมของมนุษย์ เช่น การรับรู้ต่อสิ่งเร้า , การตอบสนองระหว่างบุคคล เป็นต้น
  • จิตวิทยาการทดลอง – ศึกษาพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์ ด้วยการใช้วิธีทดลอง โดยมีจุดประสงค์ในการทำความเข้าใจถึงสาเหตุรวมทั้งรู้จักผลที่ตามมาของพฤติกรรมมากขึ้น เช่น การทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของมนุษย์ , การอบรมเลี้ยงดู เป็นต้น
  • จิตวิทยาชุมชน – แรกเริ่มเดิมที่สาขาจิตวิทยานี้ เป็นส่วนหนึ่งของสาขาจิตวิทยาคลินิก หากแต่ต่อมาได้มีการแยกสาขาเพื่อศึกษาในเรื่องของการป้องกัน ให้มีความละเอียดลออมากยิ่งขึ้น สำหรับสาขานี้เป็นดังจุดกึ่งกลางอันเป็นตัวแบ่งระหว่างจิตวิทยาคลินิก , จิตวิทยาอุตสาหกรรม รวมทั้งจิตวิทยาสังคม
  • จิตวิทยาการปรึกษา – ศึกษาจิตวิทยาอันเป็นกระบวนการ ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้ที่มีปัญหาทางจิตใจ มีความทุกข์ใจต่างๆ ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือปัญหาของตนได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังมองเห็นถึงแนวทางในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยนักจิตวิทยาสายนี้เพียงช่วยให้เขาค้นหาให้เจอเท่านั้น
  • จิตวิทยาการแนะแนว มีความคล้ายคลึง กับ จิตวิทยาการปรึกษาอยู่บ้าง หากแต่ความต่าง คือ จะทำการศึกษาเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาในประโยชน์ทางด้านแนะแนวการศึกษา เช่น ร่วมกันพูดคุยกับนักเรียน ที่กำลังหาทางเรียนต่อ , ทำความความเข้าใจเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เป็นต้น รวมทั้งค้นหาวิธีการตลอดจนเทคนิคต่างๆ ซึ่งมาทำให้งานแนะแนวมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น

อยากเรียนจิตวิทยา ในประเทศไทยนั้นมีมากมาย

สำหรับในประเทศไทยของเรานั้น มีมหาวิทยาลัยมากมาย ที่เปิดสอนเกี่ยวกับจิตวิทยาหลากหลายมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นจากทั้งรัฐบาลและเอกชน ซึ่งบางมหาวิทยาลัยจัดตั้งเป็นคณะจิตวิทยาขึ้นมาอย่างเห็นเด่นชัด หากแต่สำหรับบางมหาวิทยาลัยก็มีแอบซ่อนตัวอยู่ตามคณะต่างๆ เช่น คณะศิลปศาสตร์ , คณะศึกษาศาสตร์ , สังคมศาสตร์ เป็นต้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณสนใจมหาวิทยาลัยไหนก็ให้ศึกษาหาข้อมูลให้ดีๆ นอกจากนี้สำหรับบุคคลทั่วไปยังสามารถศึกษาจิตวิทยาแบบง่ายๆ ได้ด้วยตัวเองจากหนังสือจิตวิทยาหลายเล่มจำนวนมาก ซึ่งมีจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป

ทำความรู้จักสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน APA

Foreign psychologist

‘สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน APA’ คือ องค์กรทางจิตวิทยาขนาดใหญ่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา มีสมาชิก 117,500 คนรวมถึงนักวิทยาศาสตร์ , นักการแพทย์ , ที่ปรึกษา , นักศึกษา APA มีงบประมาณประจำปีประมาณ 115 ล้านเหรียญ มี 54 หน่วยงานของกลุ่มผลประโยชน์อันแตกต่างกัน

APA มีหน่วยงานออกแถลงการณ์นโยบายเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อันมีความสำคัญทางสังคมรวมถึงการทำแท้งสิทธิมนุษยชน, ความเป็นอยู่ของผู้ถูกคุมขัง , ค้ามนุษย์ , สิทธิในการป่วยเป็นโรคจิต , การทดสอบ IQ , ความพยายามปรับเปลี่ยนทิศทางเพศรวมทั้งความเท่าเทียมทางเพศ APA ก่อตั้งขึ้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1892 ณ Clark University โดยคนกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 30 คน ต่อมาในปี1916 มีสมาชิกเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้นกว่า 300 คน ประธานคนแรกคือ G. Stanley Hall ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 APA เข้ารวมเข้ากับองค์กรทางจิตวิทยาอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดโครงสร้างใหม่ๆตามมามากมาย

คณะกำกับดูแลกิจการ

APA เป็นบริษัท ซึ่งได้รับการว่าจ้างจากเขตโคลัมเบีย โดยข้อบังคับของ APA อธิบายส่วนประกอบของโครงสร้างที่ใช้เป็นระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ เพื่อให้แน่ใจว่าเกิดกระบวนการทางประชาธิปไตย สำหรับหน่วยงานในองค์กรประกอบด้วย

  • ประธาน APA ต้องได้รับเลือกโดยสมาชิก ประธานสภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมการบริษัท ในระหว่างดำรงตำแหน่งประธานต้องทำหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับดังกล่าว
  • คณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการจำต้องประกอบด้วยสมาชิก 6 คนใหญ่ ประธานมาจากการเลือกตั้ง , เหรัญญิก , เลขานุการ , ผู้บันทึกผลดำเนินงาน , CEO และประธานสมาคมจิตวิทยาอเมริกันของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา , คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการของสมาคมพร้อมนำเสนองบประมาณประจำปีสำหรับอนุมัติจากสภา
  • สภาผู้แทนราษฎร APA สภามีอำนาจเพียงอย่างเดียวในการกำหนดนโยบายและตัดสินใจเกี่ยวกับรายได้ต่อปีของ APA ประมาณ 60 ล้านเหรียญ ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากสมาคมจิตวิทยาแห่งรัฐ / จังหวัด / เขตปกครอง APA และคณะกรรมการ APA

โครงสร้างของคณะกรรมการ APA

คณะกรรมการ และสมาชิก มีหน้าที่บริหารดำเนินงานของ APA บนพื้นฐานที่ขอความร่วมมือ จากอาสาสมัครเป็นจำนวนมาก พวกเขาดำเนินงานหลากหลายตามจุดประสงค์ของพวกเขา บางคนมีหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบโครงการสำคัญ ๆ เช่น Directorates ,วารสารและกิจการต่างประเทศ

โครงการกำกับดูแลที่ดี

โครงการธรรมาภิบาล ได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนมกราคม 2011 โดยมันเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ “ปฏิบัติตามกระบวนการและโครงสร้างบริหารของ APA เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับสิ่งจำเป็นในการเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น” สำหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาลที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็แนะนำให้เปลี่ยนแปลงตามข้อมูลและสร้างแผนการดำเนินงาน อันมีประสิทธิภาพ

องค์กรในเครือ ได้แก่

สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APAPO) กับ Education Advocacy Trust ซึ่งดำเนินงานโดยอิสระในฐานะส่วนหนึ่งของ APAPO เป็นหน่วยงาน 501 แยกออกจาก APA พวกเขามีส่วนร่วมสนับสนุนในนามของผู้ปฏิบัติงานด้านจิตวิทยาและผู้บริโภคด้านดูแลสุขภาพและศึกษาด้านจิตวิทยาตามลำดับ
สนับสนุนโดย fifa55