
หนึ่งในโรคยอดฮิตของคนไทยวัยทำงานส่วนใหญ่ ก็คือ อาการปวดหัว ซึ่งอาการปวดหัวนี้ ก็มีที่มาจากหลายสาเหตุ หลายปัจจัยเช่นเดียวกัน เช่น นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ, ดื่มน้ำน้อย, เกิดอาการแฮงค์จากการดื่มแอลกอฮอล์, สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง, ร้อนจัด, หนาวจัด และอื่น ๆ เป็นต้น แต่มีอาการปวดหัวอยู่อาการหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างรุนแรงนั่นก็คือ โรคไมเกรน นั่นเอง
ไมเกรน อาการปวดหัวที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น
ถ้าคุณปวดหัวตามปกติ การรับประทานยาพารา 1-2 เม็ด ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้อย่างเห็นผล แต่สำหรับไมเกรนแล้ว จะเป็นขั้นการปวดหัวที่เป็นขั้นกว่าการปวดหัวตามปกติธรรมดาทั่วไป ซึ่งลักษณะของอาการ คือ จะมีลักษณะอาการปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวตุบตุบ ๆ รู้สึกมองมองเห็นแสงกระพริบวิบวับ หรือเห็นเป็นเส้นสายรุ้ง และมีอาการคลื่นไส้อยากจะอาเจียน และอาจจะกระตุ้นถูกกระตุ้นได้มากขึ้น เมื่อพบกับแสง, สี, เสียง รวมทั้งกลิ่นอาหารบางชนิด ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดไมเกรนนั้น จะเป็นอาการปวดหัวรุนแรง จำเป็นต้องทานยาแก้ปวดไมเกรนโดยเฉพาะ บางคนปวดถึงขนาดทำงาน หรือลุกขึ้นไม่ไหว จำเป็นต้องนอนในห้องมืด ๆ เงียบ ๆ เท่านั้น ถึงจะช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ในระดับหนึ่ง
บรรเทาอาการปวดไมเกรนด้วยยาเหล่านี้
- ยาแก้ปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล, ยาลดการอักเสบ NSAIDs เป็นต้น
- ยาบรรเทาอาการไมเกรนโดยเฉพาะ เช่น ยากลุ่มทริปแทน หรือ ยาเออโกทามีน เป็นต้น
- ยาแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน เพื่อช่วยบรรเทาอาการ เวียนหัว
หลังจากที่คุณรับประทานยาเหล่านี้เข้าไปแล้ว ถ้าเป็นไปได้ให้แนะนำให้นอนพัก 1 ตื่น หรือเข้าไปหลับตา นั่งทำสมาธิในห้องมืด ๆ เงียบ ๆ ก็จะทำให้อาการปวดนั้นทุเลาขึ้น ในระยะเวลาอย่างรวดเร็ว
แนวทางการรักษาแบบยั่งยืน
และนอกเหนือจากแนวทางการรักษาจากการรับประทานยา ซึ่งจะช่วยบรรเทาทุเลา เมื่อมีอาการปวดเกิดขึ้นมาแล้ว คุณผู้อ่านก็ยังสามารถปฏิบัติการดูแลตนเองอย่างใส่ใจในทุกๆ วัน เพื่อเป็นการวางแผนแนวทางรักษา จากธรรมชาติ ไม่ให้เกิดไมเกรนมากขึ้นในอนาคตได้ อีกทั้งยังช่วยยกระดับสุขภาพของคุณให้ดีขึ้นอีกด้วย วิธีที่เหล่าจะนำมาแนะนำนี้ ได้แก่การรับประทานอาหาร 5 หมู่ที่มีประโยชน์ และลดของหวานลง ถ้าติดน้ำหวาน แนะนำให้ดื่มแต่น้ำเปล่า ลด, ละ, เลิก การสูบบุหรี่ และอย่าไปดมกลิ่นบุหรี่ เพราะว่าสามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวขึ้นมาได้ และยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบอีกด้วย
พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างต่ำวันละ 7-8 ชั่วโมง งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ น้ำชาเครื่องดื่มชูกำลัง อาหารที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนสูง โดยคุณสามารถเปลี่ยนมาดื่มน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น น้ำส้มคั้นสด ที่คั้นเอง เป็นต้น
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่จำเป็นต้องออกอย่างหนักหน่วงมากจนเกินไป พอให้ร่างกายได้ขยับเขยื้อนเกิดการกระตุ้นของหัวใจ เกิดการไหลของระบบโลหิต ทำให้สุขภาพแข็งแรง หายใจได้อย่างคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจ เลี้ยงสมองมากยิ่งขึ้น ทำให้เส้นโลหิตไหลเวียนได้ดี ไม่ติดขัด
สุดท้ายนี้ถ้าคุณพยายามดูแลตัวเองให้ดีขึ้นแล้ว และอาการทุเลาลงก็ดีใจด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวดี ๆ ที่คุณจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณมีอาการปวดหัวเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งทนไม่ไหว เหมือนสมองจะระเบิด แนะนำให้คุณผู้อ่าน รีบไปปรึกษากับคุณหมอเลย จะเป็นการแนวทางการรักษาที่ตรงจุดมากที่สุด สุขภาพร่างกายอย่าปล่อยไว้ ก่อนจะสายเกินแก้